วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่องของเรื่อง............................


จากชีวิตที่ผ่านมา เจออะไรมากมายทั้งดีและไม่ดี ทั้งสุขและทุกข์ มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราต้องเจอ แต่เราจะผ่านจุดๆ นี้ไปได้อย่างไรนั้นอยู่ที่ตัวเราจะทำยังงัยให้เรื่องเหล่านี้ผ่านไปโดยที่เราต้องหัดแก้ไขปัญหา ทุกเรื่อง  ส่วนมากแล้วที่ตัวผมเจอจะเป็นปํญหาในการทำงาน  เพราะงานที่ผมทำมันสอนคล้องกับสิ่งที่ผมเรียนมานั้นคือการ เป็นครู ครูที่ต้องคอยถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ตนมีสู่ผ้าขาวผืนน้อยๆที่พร้อมให้เราแต่งเติมสีสันได้ตามใจ เราจะเติมสีอะไรเข้าไปก็ได้ ซึ่งเขาก็จะอยุ่นิ่งเฉยเพื่อให้เราเติมแต่ง แต่บางทีการเติมแต่งสีลงบนผ้าขาวผืนน้อยนี้มีทั้งทางบวกและลบในเวลาเดียวกันซึ่งสิ่งๆ นี้ขึ้นอยู่กับผู้เติมแต่ง



อ้างอิงรูปภาพ โรงเรียนปฐมสาธิต


อาชีพที่ทุกคนต้องพูดถึงในช่วงนี้ที่เป็นกระแสสำหรับนักเรียนที่กำลังจะจบมัธยมปลาย แน่นอนหลากหลายครอบครัวอยากให้ลูกของตนมีอาชีพที่มั่นคงและถาวรหนีไม่พ้นอาชีพราชการ ครู อบต. หมอ พยาบาล ซึ่งเป็นอาชีพที่ทุกคนหมายปองมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีความฝันอยากจะเป็นครู มีคนถามเสมอว่า ทำไมถึงอยากมาเป็นครู "ที่จริงผมไม่ได้อยากมาเป็นครูตั้งแต่แรก และไม่เคยคิดที่จะอยากเป็นครูซะด้วยซ้ำ เพราะอาชีพครูเป็นอาชีพที่ผมเกลียดและไม่อยากทำมากที่สุด เพราะไม่อยากสอนใครเพราะไม่รู้ว่าจะสอนเขาอย่างไรให้เขาอ่านหนังสือได้ เขียนหนังสื่อได้ ยิ่งเป็นเด็กน้อยแล้วยิ่งไม่อยากเข้าใกล้เพราะรู้อารมณ์ของตัวเองดีว่าเป็นคนอารมณ์ร้อนไม่ชอบอยู่นิ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากเด็กเลย" แต่ไม่นานความคิดนั้นกลับถูกเปลี่ยนด้วยพฤติกรรมของเด็ก 120 ชีวิต ที่ฝากความหวังไว้กับเราว่า"หนูอยากเป็นคนดีอยากเป็นเหมือนคุณครู อยากสอนนักเรียนให้เรียนเก่งๆ เหมือนกับที่ครูเป็นอยู่ตอนนี้ครับ/ค่ะ" ในตอนนั้นรู้สึกว่า เขาได้ความคิดนี้มาจากไหนทำไมเขาถึงคิดได้ขนาดนี้ ทำไมเด็กตัวแค่เนี่ยสามารถคิดอะไรเหมือนผู้ใหญ่คิด จนทำให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งถึงกับอึ้งไปชั่วขณะเหมือนช๊อกไปเลย แต่ในใจกลับยิ้มออกนี่เราสอนเขาจนเขาคิดได้ขนาดนี้เลยหรอ คือหลังจากนั้นมาความคิดที่ไม่อยากจะเป็นครูเริ่มลบออกไปจากสมองแล้วเอาความเป็นครูเข้ามาทดแทนความคิดนั้นซึ่งเป้นสิ่งที่ภาคภูมิใจมากทั้งตัวเราเองและครอบครัวที่ภาคภูมิใจในความสำเร็จของเราถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรแต่ก็ทำให้เราได้ข้อ คิดอะไรดีๆเยอะเลย....................






....................................................ฅ ฅน..................................................


วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558



ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้


ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ


       ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์


ส่วนประกอบของบั้งไฟ

      1. เลาบั้งไฟ เลาบั้งไฟคือส่วนประกิบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร ทำด้วยลำไม้ไผ่เล้วใช้ร้วไม้ไผ่ (ตอก) ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่น และใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า"หมือ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟ ด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวน เสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟ ไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ ในสมัดต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่ ได้แก่ ท่อเหล็ก ท่อพลาสติก เป็นต้น เรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้สูงกว่า
    
       2. หางบั้งไฟ หางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือ ของเรือคือสร้างความสมดุลย์ให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไปในทิศทางตรงและสูง บั้งไฟแบบเดิมนั้น ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ ต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็นท่อนกลม ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร ทำหน้าท่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40 องศากับพื้นดิน โดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตร ปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ
       3. ลูกบั้งไฟ เป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟ บั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ เดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แก่ ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกก้อย ลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม นอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ




อ้างอิง:www.wikipedia.org/wiki
          dmc.tv/a14366
          goo,gl/k40fj